วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ซอฟต์แวร์ Open Source คืออะไร?

ซอฟต์แวร์ที่ให้ไปพร้อมกับซอร์สโค้ด
  • ซอร์สโค้ด คือ ซอฟต์แวร์ต้นฉบับ โดยจะต้องสามารถอ่านเข้าใจ และอยู่ในรูปแบบที่สามารถปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมได้
ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ Open Source มีอิสระในการนำไปใช้ นำไปแจกจ่าย และปรับปรุงแก้ไข โดยจะคิดค่าใช้จ่ายหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการอนุญาต

นิยามของซอฟต์แวร์ Open Source มีอะไรบ้าง?

องค์กรอิสระ Open Source Initiative (OSI) ได้นิยามซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สไว้ดังนี้
  1. อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้อย่างเสรี (Free Redistribution) ไลเซนต์จะต้องไม่จำกัดในการขาย หรือแจกจ่ายให้กับผู้อื่น โดยไม่มีการบังคับว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ให้กับเจ้าของซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
     
  2. ให้มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Source Code)
    โปรแกรมต้องให้มาพร้อมกับ Source Code หรือถ้าไม่ได้ให้มาพร้อมโปรแกรมจะต้องมีช่องทางที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Source Code ได้โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และ Source Code ที่ให้มาจะต้องอยู่ในรูปแบบที่นำไปปรับปรุงแก้ไขได้
     
  3. อนุญาตให้สร้างซอฟต์แวร์ใหม่โดยต่อยอดจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Derived Works)
    ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ต้องอนุญาตให้สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข และสร้างซอฟต์แวร์ใหม่ โดยซอฟต์แวร์ตัวใหม่จะต้องมีไลเซนต์เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
     
  4. ต้องไม่แบ่งแยกผู้พัฒนาออกจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Integrity of the Author''s Source Code) ไลเซนต์อาจจะไม่ได้ให้ไปพร้อมซอสโค้ดในรูปแบบที่สามารถแก้ไขได้ ในกรณีที่มีการกำหนดว่าจะให้ซอร์สโค้ดเฉพาะส่วนที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม (patch files) เพื่อใช้ในการคอมไพล์โปรแกรมเท่านั้น ไลเซนต์ใหม่จะต้องกำหนดให้ชัดว่าสามารถแจกจ่ายได้หลังจากแก้ไขซอร์สโค้ดแล้ว โดยไลเซนต์ใหม่อาจจะต้องทำการเปลี่ยนชื่อ หรือเวอร์ชั่นให้แตกต่างจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
     
  5. จะต้องไม่เลือกปฏิบัติเพื่อกีดกันบุคคล หรือกลุ่มบุคคล (No Discrimination Against Persons or Groups)
    ไลเซนต์จะต้องไม่เลือกปฏิบัตเพื่อกีดกันการเข้าถึงซอฟต์แวร์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
     
  6. จะต้องไม่จำกัดการใช้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น (No Discrimination Against Field of Endeavor) ไลเซนต์จะต้องไม่จำกัดการใช้สำหรับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น จะต้องไม่จำกัดการใช้งานเฉพาะในเชิงธุรกิจ หรือในการทำวิจัยเท่านั้น
     
  7. การเผยแพร่ไลเซนต์ (Distribution of License) สิทธิ์ที่ให้ไปกับโปรแกรมจะต้องถูกบังคับใช้กับทุกคนที่ได้รับโปรแกรมเท่าเทียมกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไลเซนต์อื่นๆ ประกอบ
     
  8. ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์จะต้องไม่ขึ้นกับไลเซนต์ของผลิตภัณฑ์ (License Must Not be Specific to a Product)
    หมายความว่า ถ้าซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สถูกนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะต้องไม่ต้องไม่ขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ใดซอฟต์แวร์หนึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวนั้น
     
  9. ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์จะต้องไม่จำกัดไลเซนต์ของซอฟต์แวร์อื่น (License Must Not Restrict Other Software)
    ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ที่รวมในมีเดียเดียวกันจะต้องไม่ถูกบังคับให้เป็นโอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ด้วย
     
  10. ไลเซนต์จะต้องไม่ผูกติดกับเทคโนโลยี (License Must Be Technology-Neatral)

ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สกับการบริหารจัดการระบบเครือข่าย

ผู้บริหารระบบเครือข่ายเป็นบุคคลที่มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อการดำเนินงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนให้ระบบสารสนเทศภายในองค์กรดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานด้านใดก็ตาม ผู้บริหารจะต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการบริหารจัดการให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยกันทั้งนั้นหากพิจารณาในเชิงระบบของการสื่อสารแล้ว ผู้บริหารระบบเครือข่ายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมในการที่จะปฏิบัติงานร่วมกับระบบซอฟต์แวร์ ได้แก่ การสั่งงานและควบคุมระบบ การจัดการและบำรุงรักษาข้อมูล การเฝ้าระวังปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น และการวิเคราะห์ตรวจสอบข้อมูลในรูปของรายงานต่างๆ ซึ่งเป็นการสื่อสารกันระหว่างมนุษย์กับซอฟต์แวร์ ดังนั้นหน้าที่สำคัญของเครื่องมือช่วยบริหารจัดการระบบเครือข่าย จึงเป็นตัวกลางในการแปลงรูปแบบของการเชื่อมโยงคำสั่ง ข้อมูล และรายงานระหว่างผู้บริหารระบบกับซอฟต์แวร์ต่างๆ ดังแสดงในรูปที่ 1

รูปที่ 1 การทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารระบบกับเครื่องมือบริหารจัดการ

องค์ประกอบที่สำคัญของเครื่องมือบริหารจัดการระบบ คือ ผู้ใช้งานหรือผู้บริหารจัดการระบบ จะต้องสามารถส่งคำสั่งหรือข้อมูลไปยังระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้สะดวกและตรงตามความต้องการ ซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือบริหารจัดการจึงควรมีการอินเทอร์เฟสที่ใช้งานง่าย และมีฟังชั่นเพียงพอต่อการใช้งาน จากนั้นจึงแปลงคำสั่งหรือข้อมูลไปในรูปแบบที่ซอฟต์แวร์ปลายทางจะสามารถรับรู้ได้โดยตรงและสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที ผลของการปฏิบัติงานนั้นจะต้องมีการบันทึกไว้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้บริหารระบบจำเป็นต้องนำไปใช้พิจารณาในการตรวจสอบผลการทำงาน วิเคราะห์ปัญหาปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นในระบบ ซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือวิเคราะห์และรายงานสภาพของระบบจึงมีหน้าที่สำคัญในการป้อนกลับข้อมูลเหล่านี้ให้แก่ผู้บริหารระบบในขณะเดียวกันระหว่างที่ระบบกำลังดำเนินงานไปตามปรกติ การจับตาเฝ้าระวังในจุดสำคัญต่างๆ ของระบบเครือข่าย ระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่น และส่วนประกอบทางฮาร์ดแวร์ ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่น้อย ซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือมอนิเตอร์ต่างๆ จึงมีหน้าที่สนับสนุนงานในลักษณะนี้ ซึ่งผู้บริหารระบบเครือข่ายควรให้ความสำคัญเช่นกันสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเชื่อมโยงองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันก็คือ โปรโตคอล หรือข้อตกลงที่เป็นกลางระหว่างซอฟต์แวร์แต่ละส่วนไม่ว่าจะเป็น แหล่งต้นกำเนิดข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการรายงานผลข้อมูล จะต้องมีการกำหนดและจัดให้ระบบทำงานตามเงื่อนไขที่สอดคล้องกันทั้งระบบ เช่น โปรโตคอลในการรับส่งคำสั่งหรือข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายอาจจะใช้โปรโตคอล SNMP (Simple Network Management Protocol) ระบบการรวบรวมข้อความจากแอปพลิเคชั่นในระบบปฏิบัติการลีนุกซ์จะนิยมใช้ SysLogd รูปแบบของข้อความที่จัดเก็บในไฟล์บันทึกเหตุการณ์หรือล๊อกไฟล์ (Log file) ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโปรโตคอล HTTP จะนิยมใช้มาตรฐานเดียวกันกับรูปแบบล๊อกไฟล์ของอาปาเช่ เป็นต้นวิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ได้มาจากการเก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ แบบแรกจะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลดิบไว้เลยแต่จะประมวลผลให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นรายงานสรุปแล้วจัดให้เก็บอยู่ในรูปเอกสารรายงานที่อ่านได้โดยตรง เช่น ตารางข้อมูล รูปกราฟ หรือแผนผัง ซึ่งรูปแบบแรกนี้มักเป็นเครื่องมือประเภทวิเคราะห์และรายงานสภาพของระบบเครือข่ายและซอฟต์แวร์ทั่วไป แบบที่สองจะนำข้อมูลที่รวบรวมได้ไปวิเคราะห์และจัดเก็บในฐานข้อมูลที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเครื่องมือชนิดนั้นๆ เอง ซึ่งจะมีข้อดีในการนำข้อมูลย้อนหลังมาวิเคราะห์เปรียบเทียบได้และมีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ แต่มีข้อจำกัดในการที่จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้รายงานผลหรือประยุกต์ในงานที่มีความต้องการพิเศษ และรูปแบบสุดท้ายจะมีการจัดเก็บข้อมูลที่ผ่านการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์บางส่วนแล้วในระบบฐานข้อมูลมาตรฐานและสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยวิธีการที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น SQL Perl DBM เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารระบบสามารถเลือกวิธีการนำข้อมูลไปใช้งานได้หลากหลายกว่า และจะมีซอฟต์แวร์สนับสนุนในด้านการรายงานผลข้อมูลให้เลือกได้มากขึ้นอีกด้วยวิธีการและรูปแบบการนำเสนอข้อมูล เครื่องมือบริหารเครือข่ายในปัจจุบันมีทั้งแบบที่แสดงผลด้วย ข้อความธรรมดา (Text) เช่น คำสั่งหรือยูทิลิตี้ขนาดเล็กทั่วไป การแสดงผลในโหมดตัวอักษรที่เรียกว่า (TUI หรือ Text User Interface) การแสดงผลในแบบกราฟฟิก (GUI หรือ Graphic User Interface) และการแสดงผลโดยผ่านหน้าเว็บ (Web-based Interface) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากเนื่องจากทำให้การบริหารจัดการและเข้าถึงข้อมูลระบบเครือข่ายได้จากระยะไกลเป็นไปได้โดยง่ายกว่าวิธีการอื่นๆเครื่องมือบริหารเครือข่ายแบบโอเพ่นซอร์ส
ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้งานของบรรดานักคอมพิวเตอร์ ผู้บริหารระบบเครือข่ายโดยเฉพาะอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีเครื่องมือต่างๆ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมากมาย ตั้งแต่สคริปต์เพื่อใช้งานเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงชุดซอฟต์แวร์ (Software Suit) ที่รองรับงานขององค์กรขนาดใหญ่มากหรือที่เรียกกันว่าระดับเอนเตอร์ไพรซ์เลยก็มี หากเราแบ่งซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่เป็นเครื่องมือบริหารระบบเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน จะแบ่งได้ 5 กลุ่ม คือ
  1. เครื่องมือช่วยการคอนฟิกและควบคุม
  2. เครื่องมืออำนวยความสะดวกในการจัดการข้อมูล
  3. เครื่องมือช่วยการบำรุงรักษาระบบ
  4. เครื่องมือบริหารด้านความปลอดภัย
  5. เครื่องมือแจ้งเตือนและรายงานสถานะ
ถึงแม้จะมีการจัดแบ่งกลุ่มของเครื่องมือบริหารจัดการระบบเครือข่ายออกได้หลายกลุ่มดังข้างต้นก็ตาม แต่ในสภาพของการปฏิบัติงานในปัจจุบันที่ระบบเครือข่ายมีความสลับซับซ้อนและเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับระบบอื่นๆ จนแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ เช่น ระบบฐานข้อมูล ระบบอีเมล์ เมสเสจและการสื่อสารแบบมัลติมีเดีย รวมไปถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในองค์กร จึงทำให้มีความจำเป็นต้องบูรณาการเครื่องมือทั้งหลายเข้าด้วยกัน เชื่อมโยงขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดเครื่องมือช่วยการคอนฟิกและควบคุม
เป็นที่ทราบกันดีว่าการคอนฟิกระบบปฏิบัติการลีนุกซ์และโปรแกรมแอปพลิเคชั่นที่ประกอบกันเป็นงานบริการสำคัญๆ ในระบบเครือข่ายนับวันจะยิ่งมีรายละเอียดและความซับซ้อนมากขึ้นอันเนื่องมาจากความต้องการใช้งานและปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ภารกิจหลักของผู้บริหารระบบจึงต้องพยายามนำเอาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาช่วยลดปัญหาในการติดตั้งและคอนฟิกซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องมือเหล่านี้จะต้องง่ายต่อการติดตั้งและใช้งาน มิฉะนั้นจะกลายเป็นการเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีกแทนที่จะช่วยลดงานลงโปรแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ Webmin เป็นโปรแกรมที่มีโมดูลจำนวนมากช่วยให้สามารถปรับตั้งค่าคอนฟิกและควบคุมระบบปฏิบัติการลีนุกซ์และซอฟต์แวร์ส่วนประกอบประเภทเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ได้แทบทุกตัว ด้วย BSD License และการอินเทอร์เฟสแบบเว็บที่ใช้ง่ายจึงเป็นที่นิยมอย่างสูงตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Webmin อาจจะมีปัญหาในบางโมดูลที่เข้าไม่ได้กับลีนุกซ์บางดิสทริบิวชั่นจนอาจสร้างปัญหาที่ยากต่อการค้นหาความผิดปรกติได้เช่นกัน ที่เคยพบมาได้แก่ โมดูล dial-up โมดูลคอนฟิกเครื่องพิมพ์ เป็นต้น

รูปที่ 2 Webmin เครื่องมือช่วยคอนฟิกยอดนิยม

กลุ่มเครื่องมือช่วยการคอนฟิกอาจจะเป็นโปรแกรมที่สนับสนุนเฉพาะเรื่องใดเรื่องโดยเฉพาะก็ได้ เช่น Postfix Admin ที่ใช้ควบคุมการทำงานของ Postfix SMTP Server โดยจัดเก็บคอนฟิกไว้ในฐานข้อมูล MySQL และมีอินเทอร์เฟสแบบเว็บที่สวยงาม หรืองานด้าน Cluster / Distributed Computing ก็มีโปรแกรม OpenQRM ที่เป็นตัวบริหารจัดการระบบคลัสเตอร์ชื่อ Qluster โดยเฉพาะโดยรันในแพลตฟอร์ม MS Windowsโปรแกรมประเภท Remote Desktop ก็เป็นเครื่องมือช่วยการคอนฟิกที่มีให้เลือกใช้มากมายในแบบโอเพ่นซอร์ส ช่วยให้ผู้ดูแลระบบได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้นในการคอนฟิกและควบคุมเซิร์ฟเวอร์จากที่ใดก็ตามที่ต้องการ ได้แก่ Cocoa Remote Desktop ที่ทำงานบน Mac OS X โปรแกรม TightVNC ที่ทำงานได้จาก Windows และ Linuxซอฟต์แวร์ช่วยอำนวยความสะดวกในการคอนฟิกและควบคุมระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ที่น่าสนใจมากในขณะนี้ ที่น่าจะทดแทน Webmin ได้ แต่ยังมีโมดูลไม่มากนัก น่าจะเป็น NetDirector ซึ่งมีอินเทอร์เฟสแบบเว็บเบส และมีโมดูลใหญ่ๆ ที่ช่วยให้คอนฟิก Postfix ,MySQL ,LDAP และซอฟต์แวร์สำคัญๆ ได้เพียงพอต่อการใช้งานลีนุกซ์เซิร์ฟเวอร์ทั่วไปได้ดีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการจัดการข้อมูล
งานด้านข้อมูลเป็นภาระงานอีกประเภทที่ผู้บริหารระบบเครือข่ายต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในการคอนฟิกระบบ ชื่อบัญชีและรหัสผ่านของยูสเซอร์ หรือจะเป็นสารสนเทศขององค์กรก็ตาม หากปราศจากเครื่องมือที่เหมาะสมแล้ว งานของผู้บริหารระบบดูเหมือนจะต้องกินเวลามากจนเกินความจำเป็น คงเป็นภาพที่ไม่น่าประทับใจเท่าไรนักหากต้องปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูล MySQL ด้วยการพิมพ์บรรทัดคำสั่งชนิดที่ผิดไม่ได้แม้แต่ตัวอักษรเดียว หรือต้องป้อนข้อมูลเข้าสู่ LDAP Directory ด้วยการสร้างไฟล์ LDIF ด้วยเท็กซ์อีดิตเตอร์ธรรมดา

รูปที่ 3 จัดการข้อมูล LDAP ด้วย phpLDAPadmin

ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้จึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในปัจจุบัน ได้แก่ phpMyAdmin และ phpPgAdmin สำหรับการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล MySQL และ PostGreSQL โปรแกรม phpLDAPadmin สำหรับการจัดการข้อมูลใน LDAP Directory โดยทั้ง 3 โปรแกรมนี้มีอินเทอร์เฟสแบบเว็บ หรือถ้าสะดวกที่จะใช้งานลักษณะนี้บนเครื่อง MS Windows ก็มีซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สอีกจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนได้เป็นอย่างดี เช่น LDAP Admin ,MySQL Administrator เป็นต้นเครื่องมือช่วยการบำรุงรักษาระบบเครือข่าย
เมื่อระบบเครือข่ายในองค์กรเริ่มมีจำนวนอุปกรณ์และเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ปัญหาในการมองภาพรวมของระบบ การรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบเพื่อใช้เป็นสารสนเทศประกอบการวางแผนและการตัดสินใจเกี่ยวกับระบบเครือข่ายจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ผู้บริหารระบบจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้ช่วยที่เก่งและขยันมากพอที่จะทำงานปริมาณมากๆ เช่นนี้ให้ได้ทันกับความต้องการ เป็นต้นว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับการอัพเกรดฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ในองค์กรผู้บริหารระบบย่อมต้องการทราบจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการที่ใช้ และแอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งอยู่ทั้งหมด เรียกว่างานด้าน Inventory นั่นเองเครื่องมือด้าน Inventory และ System Configuration หรืออาจจะรวมงานด้านการติดตั้งซอฟต์แวร์ ( Software Deployment) เป็นสิ่งที่องค์กรที่มีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ ต้องการอย่างยิ่ง ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่รองรับงานประเภทนี้ได้แก่ OCS Inventory NG (Open Computer and Software Inventory Next Generation) เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่เป็น GPL License ที่รันบนระบบปฏิบัติการ MS Windows แบบ 32 บิตได้ทุกเวอร์ชั่น เมื่อติดตั้ง Client Agent ขนาดจิ๋วลงไปในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายแล้ว ตัวเครื่องแม่ข่ายจะสามารถมอนิเตอร์และเก็บสถิติการใช้ซอฟต์แวร์และรายละเอียดเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์สำคัญๆ ได้ตลอดเวลา ช่วยให้การควบคุมการใช้ซอฟต์แวร์ในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

รูปที่ 4 รายงานด้าน Inventory จากโปรแกรม OCS

หากต้องการซอฟต์แวร์ประเภทนี้ที่สามารถรันได้ทุกแพลตฟอร์มอาจจะใช้ H-Inventory ซึ่งมีอินเทอร์เฟสแบบเว็บ นอกจากจะทำ Inventory ได้แล้ว ยังสามารถสร้างแผนผังเครือข่าย และมีความสามารถในการมอนิเตอร์เซอร์วิสในแต่ละโฮสต์ได้ แบบเดียวกับโปรแกรม NetWhistler ที่ทำงานด้วย Java Run-time Environment (JRE)เครื่องมือบริหารด้านความปลอดภัย
เครื่องมือในกลุ่มนี้ไม่ได้หมายถึงซอฟต์แวร์ป้องกันหรือตรวจสอบด้านความปลอดภัยของระบบเครือข่ายโดยตรง ดังที่เราคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เช่น ClamAV ใช้ค้นหาไวรัสและโค๊ดที่เป็นอันตรายทั้งหลาย หรือ Nessus ที่เป็น Security scanner/audit เพราะหากพิจารณาดูแล้วซอฟต์แวร์เหล่านี้จะมีลักษณะที่ยังคงทำงานในระดับคอมมานด์ไลน์หรือระดับ Daemon ไปเลย ซึ่งยากต่อการใช้งานและบริหารจัดการดังนั้นการที่จะบริหารจัดการซอฟต์แวร์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมีส่วนซอฟต์แวร์เพิ่มเติมขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าหรือ Front end ในการสื่อสารกับผู้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจในเวลานี้ได้แก่ Inprotect เป็นโปรแกรมที่ใช้การติดต่อผ่านหน้าเว็บ โดยไปควบคุม Nessus (แสกนหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัย) และ Nmap (แสกนพอร์ตของโฮสต์) โดยรายงานเป็นรูปกราฟ ไฟล์รายงานผลแบบ HTML และ PDF นอกจากนั้นยังสามารถแจ้งเตือนทางอีเมล์ได้อีกด้วย

รูปที่ 5 Inprotect เครื่องมือบริหารด้านความปลอดภัย

อีกโปรแกรมหนึ่งที่เหมาะกับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่กว่า คือ Babel Enterprise มีอินเทอร์เฟสกับผู้ใช้งานแบบเว็บเหมือนกัน แต่สามารถทำงานได้ลึกและละเอียดกว่าถึงระดับเคอร์เนล โมดูล ระบบสิทธิของไฟล์และไดเร็คทอรี่ ตัวโปรแกรมมีโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่รองรับงานปริมาณมากๆ ได้ดี โดยแยกส่วนของโปรแกรมออกเป็น babel_agents เป็นตัวดักข้อมูลในโฮสต์ babel_console เป็นคอนโซลควบคุมระยะไกล และ babel_server เป็นตัวศูนย์กลางของระบบ นอกจากนี้ babel ยังสามารถรันได้หลากหลายแพลตฟอร์ม เห็นคุณสมบัติมากมายอย่างนี้แต่ทั้ง Inprotect และ Babel Enterprise เป็นโอเพ่นซอร์สแบบ GPL License ซึ่งหมายความว่าใช้ได้ฟรีครับเครื่องมือแจ้งเตือนและรายงานสถานะ
สถานภาพของอุปกรณ์ เซิร์ฟเวอร์ ไล่เรียงลำดับไปจนถึงเซอร์วิสต่างๆ ภายในระบบเป็นสิ่งที่ผู้บริหารระบบต้องการที่จะทราบทั้งก่อนที่จะเกิดปัญหาและในทันทีที่เกิดความผิดปรกติขึ้นเพื่อที่จะได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่เป็นเครื่องมือแจ้งเตือนและรายงานสถานะจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกองค์กรตามปรกติแล้วเครื่องมือในกลุ่มนี้จะมีรวมให้มาในระบบปฏิบัติการทุกตัวอยู่แล้ว ซึ่งเพียงพอต่อการรายงานสถานะได้ระดับหนึ่งเท่านั้น การทำงานจะเป็นแบบตรงไปตรงมา เรียบง่าย และมีขนาดกระทัดรัด หากระบบไม่ใหญ่โตมากนักก็สามารถใช้งานได้ดีพอสมควร เช่นในระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็มี Event Log ที่แยกประเภทให้ตรวจสอบได้ง่ายๆ หรือในระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ก็จะมี logwatch ,swatch หรือ pflogsumm ซึ่งเป็นโปรแกรมระดับคอมมานด์ไลน์ที่ใช้งานได้ได้ดีในการสร้างรายงานประจำวันหรือประจำสัปดาห์แต่ถ้าองค์กรมีโฮสต์เป็นจำนวนมากย่อมต้องการเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและการแสดงผลที่เห็นภาพรวมได้รวดเร็วกว่า รวมทั้งยังต้องการที่จะให้สามารถทำงานได้หลายๆ แพลตฟอร์มในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามีหลายระบบที่ต่างกันก็มีรายงานที่แตกต่างกันไปอีก ยากต่อการอ่านและวิเคราะห์ผล ซอฟต์แวร์เหล่านี้จึงต้องใช้โปรโตคอลกลางในการรวบรวมข้อมูล มีรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลมาตรฐานที่ศูนย์กลาง และสามารถรายงานสรุปได้อย่างครบถ้วนในจุดทำงานเดียว

รูปที่ 6 SNARE ที่รันใน X Window ของลีนุกซ์

ตัวอย่างของซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ที่มีไลเซ้นซ์แบบ GPL ได้แก่ SNARE (System iNtrustion Analysis and Reporting Environment) ซึ่งมีการแสดงผลแบบกราฟฟิก (GUI) สามารถทำงานได้แทบทุกแพลตฟอร์ม เช่น Unix/Linux, Windows 32 bit, Solaris, AIX SGI เช่นเดียวกับโปรแกรม Zenoss ที่มีคุณสมบัติด้านการมอนิเตอร์ วัดประสิทธิภาพของระบบ แสดงสถานะหรือเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งคอนฟิกภายในโฮสต์หรือดีไวซ์แบบเวลาจริง SNM (System and Network Monitor) มีวิธีการแสดงผลแบบกราฟที่ง่ายต่อการอ่านผลลัพธ์ สามารถทำงานร่วมกับโปรโตคอล SNMP แจ้งเตือนด้วยอีเมล์ สามารถรายงานข้อมูลย้อนหลังได้ด้วยการใช้ RRD Tool และพัฒนาด้วยภาษา Perl จึงสามารถใช้งานได้ทั้งบนวินโดวส์และลีนุกซ์เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับงาน
การนำซอฟต์แวร์ประเภทเครื่องมือช่วยบริหารจัดการระบบเครือข่ายมาใช้งาน ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม ประสิทธิภาพ และงบประมาณขององค์กร หากงานมีความซับซ้อนน้อย การตัดสินใจเลือกเครื่องมืออาจจะยุติเพียงแค่ซอฟต์แวร์เล็กๆ (แต่ตรงความต้องการและมีประสิทธิภาพ) ที่มีอยู่แล้วในชุดของระบบปฏิบัติการ ยิ่งเพิ่มคุณสมบัติที่หรูหราให้กับระบบมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งสร้างภาระให้กับระบบและตัวผู้ปฏิบัติงานมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วสิ่งสำคัญที่สุดในองค์กรก็คือความรับผิดชอบและความเอาใจใส่ของผู้บริหารระบบนั่นเอง

OPEN SOURCE

อาจกล่าว ได้ว่าโอเพ่นซอร์ส (Open Source) คือเทคโนโลยีที่ถูกจับตาและถูกคาดหวังว่าจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นต่อภาค ธุรกิจไทยในภาวะเศรษฐกิจซบเซา เนื่องจากในภาวะเช่นนี้ผู้ประกอบการยิ่งมีความต้องการเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นภายใต้เม็ดเงินลงทุนน้อยลง หรือลงทุนเท่าเดิมแต่ได้ผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งนั้นทำให้โอเพ่นซอร์สเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ดังที่ ดร.ธนะชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจด้านซอฟท์แวร์ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด
กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่ก่อตัวขึ้นในนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้โอเพ่นซอร์ส เพิ่มบทบาทมากขึ้นต่อภาคธุรกิจไม่ว่าองค์กรขนาดใหญ่ หรือธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก (SME)

เนื่อง จากผู้ประกอบการทุกระดับต่างต้องการลดค่าใช้จ่ายแต่ขณะเดียวกันยังมี ความต้องการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น โอเพ่นซอร์สจึงจะเข้ามามีบทบาทใน 2 ส่วน ส่วนแรกคือระบบงานส่วนหน้า (Front-end System) ได้แก่ ระบบงานที่ทำงานอยู่บนเครื่องอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ อาทิ ระบบโอเพ่นออฟฟิศ (Open Office) ระบบงานแอพพลิเคชั่นต่างๆ รวมถึงโอเพ่นซอร์สเบราซ์เซอร์อย่าง Fire Fox เป็นต้น และในส่วนที่สองคือระบบงานส่วนหลัง (Back-end System) ได้แก่ ระบบฐานข้อมูล (Database) ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Application Server และ Web Server ที่มีแนวโน้มมีความต้องการใช้งานเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ เนื่องเพราะแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานจะเป็นเว็บแอพพลิเคชั่นมากขึ้น

ไอทีกับการบริหารสนามบินสุวรรณภูมิ



AIMS ( Airport Information Management System )

ระบบการบริหารจัดการของสนามบินสุวรรณภูมิถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านทางเทคโนโลยีที่เรียนกว่า AIMS ( Airport Information Management System ) ซึ่งครอบคลุมถึง 45 ระบบและทุกระบบทำงานแบบ Real Time Interactive และ Internet-based ประกอบด้วย
1.       ระบบบริหารข้อมูลสายการบิน FIMS ( Flight Information Management System ) การจัดการเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของสายการบินทั้งเที่ยวไปและกลับ โดยเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลองค์กรสากล สนามบินและสายการบินต่างๆ
2.       ระบบฐานข้อมูลการปฏิบัติการสนามบิน AODB ( Airport Operations Database ) คือ ระบบฐานข้อมูลที่ได้มาจากาการเชื่อมโยงระบบย่อยต่างๆ ในสนามบิน เพื่อใช้ในการสังเกตการณ์ การวางแผน การจัดการ การควบคุม ตลอดจนการตัดสินใจ
3.       ระบบฐานข้อมูลบริหารสนามบิน AMBD ( Airport Management Database ) คือ ระบบฐานข้อมูลที่ได้มาจากการบริหาร งานธุรการ งานพาณิชย์ ตลอดจนการเงิน และบางส่วนจาก AODB
4.       ระบบรายได้ของสนามบิน Airport Billing System ( Including Aviation & Non-aviation ) คือ ระบบที่รับรู้รายได้ทั้งหมดของสนามบิน โดยระบบจะทำการพิมพ์ใบแจ้งหนี้พร้อมทั้งตั้งหนี้เพื่อรอการเก็บเงิน
5.       ระบบเน็ตเวิร์คและส่วนเชื่อมสื่อสาร AIMS Network backbone including Gateway เป็นการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ภายในอาคารต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล
6.       ระบบ LAN เพื่อการสื่อสารข้อมูล AIMS ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สำหรับติดตั้งในอาคาร AIMS
7.       ศูนย์ควบคุมปฏิบัติการสนามบิน AOC ( Airport Operation Center) คือ ระบบตรวจตรา ควบคุมอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกระบบของสนามบิน โดยครอบคลุมถึงการปฏิบัติการด้านภาคพื้นอากาศ ภาคพื้นดิน อาคารผู้โดยสารและระบบความปลอดภัยในสนามบิน
8.       ศูนย์ควบคุมการเกิดวินาศกรรม CCC ( Crisis Control Center ) คือ ระบบที่ใช้ในห้องควบคุมและบัญชาการเมื่อมีวิกฤตกรณ์ต่างๆ เช่น การปล้นเครื่องบิน การก่อวินาศกรรมในบริเวณสนามบิน เป็นต้น
9.       ศูนย์ควบคุมรักษาความปลอดภัย SCC ( Security Control Center ) เช่น ระบบกล้องวงจรปิด ( CCTV ) ควบคุมอาคาร ( Building Automation System ) เป็นต้น
10.   ศูนย์ควบคุมและบริหารระบบเน็ตเวิร์ค NMC ( Network Management Center ) คือ ระบบควบคุมและจัดการระบบเครือข่ายในระบบ AIMS LAN, AIMS network backbone, PTC LAN
11.   ศูนย์ควบคุมอาคาร Central BAS ( Building Automation System ) คือ ระบบที่ติดตั้งในห้อง AOC และ CCC เป็นศูนย์กลางในการตรวจสอบ การควบคุมและการจัดการระบบ Facility เช่น ระบบลิฟต์ ระบบเครื่องปรับอากาศ ของอาคารต่างๆ ที่อยู่ในสนามบิน
12.   ระบบกล้องวงจรปิดภายนอก และการเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมส่วนกลาง External CCTV Plus Central CCTV integration เพื่อใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยในบริเวณต่างๆ ของสนามบิน
13.   ศูนย์ควบคุมระบบอัคคีภัย Central FDA ( Fire Detection and Alarm ) คือระบบที่ติดตั้งในห้อง AOC และ SCC เป็นศูนย์กลางในการตรวจสอบสัญญาณและแจ้งเตือนไฟไหม้ของระบบ FDA ที่ติดตั้งในอาคารต่างๆ
14.   ศูนย์การระบบแจ้งเวลา Central Clock System คือ ระบบมาตรฐานสัญญาณนาฬิกาที่ใช้อ้างอิงสำหรับนาฬิกาอิเลคทรอนิคส์ที่ติดตั้งในอาคารต่างๆ และนาฬิกาที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้มีเวลาตรงกัน
15.   ศูนย์กลางระบบ SCADA ( Central SCADA System ) คือระบบที่ติดตั้งในห้อง AOC และ SCC เป็นศูนย์กลางในการตรวจสอบ การควบคุม และการจัดการระบบจ่ายน้ำประปา ระบบจ่ายไฟฟ้า ภายในอาคารต่างๆ
16.   ศูนย์กลางระบบความปลอดภัยและรหัสผ่านเข้า-ออก Central CASS ( Controlled Access Security System ) เพื่อควบคุมการผ่านเข้าออกประตูห้องภายในบริเวณอาคารต่างๆ ของสนามบิน
17.   ส่วนงานเชื่อมต่อกับศูนย์การควบคุมจราจร Interface/Integration work with Traffic Control System คือ ระบบที่ใช้เชื่อมโยงระบบ AIMS กับระบบศูนย์ควบคุมการจราจรของพาหนะต่างๆ เช่น ระบบ Sign board display
18.   ระบบบริการข้อมูล Information KIOSK ซึ่งเป็นตู้แสดงผลทางด้านข้อมูลแก่ผู้โดยสารเกี่ยวกับข้อมูลเที่ยวบิน ข้อมูลสนามบิน แผนผังสนามบิน ข้อมูลสายการบิน แหล่งร้านค้า ร้านอาหาร การเดินทาง เป็นต้น
19.   ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล Human Resource Management System ครอบคลุมตั้งแต่การรับสมัคร การบริหารบุคคล เงินเดือน การบันทึกเวลาทำงาน
20.   ระบบบริหารบัญชีและการเงิน Financial Account Management System การบริหารบัญชีทั่วไป บัญชีลูกหนี้ บัญชีเจ้าหนี้ บัญชีทรัพย์สินถาวร การเงิน งบประมาณ ภาษี
21.   ระบบการจัดเก็บรายได้สนามบิน Revenue Collection Management System เป็นการจัดเก็บรายได้ทั้งหมดของสนามบินที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับ การบิน
22.   ส่วนงานเชื่อมต่อระบบย่อย ณ อาคารผู้โดยสาร Interface/Integration work with PTC sub-system โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปเก็บใน AODB และ AMDB และบางส่วนก็จะส่งกลาบไปยังระบบย่อยต่างๆ ในอาคารผู้โดยสาร
23.   ส่วนงานเชื่อมต่อระบบย่อยการซ่อมบำรุงสนามบิน Interface/Integration work with AMF Sub-system ( Airport Maintenance Facility )
24.   ส่วนงานเชื่อมต่อระบบย่อยการควบคุมการบินทางอากาศ Interface/Integration work with ATC Sub-System ( Air Trafic Control )
25.   ส่วนงานเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์สายการบิน Interface/Integration work with Airline Host Computer & OAG Network (Offcial Airline Guide )
26.   การฝึกอบรม Training แก่พนักงาน ในส่วนที่ปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับทุกระบบของ AIMS เพื่อที่จะสามารถนำสิ่งที่ได้รับการฝึกสอนไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
27.   One year Operation & Maintenance Service and two years defect liability Maintenance Service คือ การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับ AIMS โดยผู้รับเหมาเป็นเวลา 1 ปี และบริการซ่อมบำรุงระยะเวลา 2 ปี โดยเตรียมบุคลากรให้เพียงพอต่อการดำเนินการ และถ่ายทอดความรู้ให้พนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิ
28.   ระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ในการจัดการผู้โดยสารและสัมภาระ CUTE including PBRS ( Passenger Baggage Reconciliation System ) & LDCS ( Local Departure Control System )
29.   ระบบแสดงผลข้อมูลและแผนภูมิ AIMS View System เพื่อใช้ในการสังเกตการณ์และตรวจสอบติดตาม ควบคุม วางแผน และตัดสินใจ
30.   ระบบบริหารการเข้าจอดของเครื่องบิน ณ อาคารผู้โดยสาร Ramp Service Management System เช่น ระบบนำร่องเข้าจอด ( VDGS ) ระบบสายพานผู้โดยสาร ( PLB ) ระบบกำลังไฟบนภาคพื้นดิน ( 400Hz) เป็นต้น
31.   ระบบการจำหน่ายตั๋วและการเช็คอิน On-line Ticketing & Check-in คือ ระบบที่เชื่อมต่อกับระบบการขายตั๋วของสนามบินต่างๆ
32.   ส่วนงานเชื่อมต่อกับระบบย่อยของหน่วยงานของรัฐ Interface work with Government Agency Sub-System คือ ระบบงานที่เชื่อมต่อกับระบบงานของหน่วยงานของรัฐในสนามบิน เช่น การตรวจคนเข้าเมือง และภาษีศุลกากร
33.   ส่วนงานเชื่อมต่อกับระบบย่อยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง Interface work with Facilitz System of Privatization Packages คือระบบที่เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานที่มีการติดต่อทางธุรกิจกับสนามบิน
34.   ส่วนงานเชื่อมต่อกับงานศุลกากร Interface work with Facility System of Custom Free Zone
35.   ห้องทดลองและจำลองประสิทธิภาพอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนการติดตั้ง BTL ( Benchmark tesing Laboratory ) ทั้งนี้รวมถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งอุปกรณ์และระบบโปรแกรมประยุกต์
36.   ระบบบันทึกและตรวจสอบการบำรุงรักษา Facility Management System ( Facility Inventory Management, Cable Convention System )
37.   ระบบบริหารพื้นที่จอดรถ Car Parking Management System เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับพื้นที่จอดรถที่ให้เช่าทั้งระยะสั้นและยาว
38.   ระบบการจัดซื้อและจัดจ้าง Procurement Management System ที่ครอบคลุมถึงการรับสินค้า สินค้าคงคลัง พื้นที่จัดเก็บ การกระจายและขนส่งตลอดจนการจ่ายเงิน
39.   ระบบบริหารทรัพย์สินและพื้นที่เช่า Assets Management System คือ ระบบควบคุมและบริหารทรัพย์สินโดยเฉพาะพื้นที่และห้องต่างๆ ที่ให้เช่าในเชิงพาณิชย์รวมทั้งการบริหาร และจัดการเกี่ยวกับผู้เช่าตลอดจนสัญญาต่างๆ
40.   ระบบบริหารร้านค้าและเครื่องชำระเงิน Concession Management System with POS คือ ระบบบริหารและจัดการเกี่ยวกับสัมปทานการขายของในสนามบิน รวมทั้งสินค้าปลอดภาษี เป็นต้น
41.   ส่วนงานเชื่อมต่อระบบตรวจสอบสภาพสิ่งแวดล้อม Interface/Integration work with Environmental Monitoring System เพื่อได้มาซึ่งข้อมูลด้านเสียงและสภาพแวดล้อมทั่วๆ ไป ในบริเวณสนามบินตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียง
42.   การบริหารเว็บเพจ Web Page Service คือ ระบบการบริการข้อมูลของสนามบินสุวรรณภูมิบนอินเทอร์เน็ต โดยประกอบรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ ร้านค้าปลอดภาษี เป็นต้น
43.   ระบบการทำงานธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ต E-Business คือ ระบบที่สามารถทำธุรกรรมกับสนามบินสุวรรณภูมิบนอินเทอร์เน็ต ตลอดจนซื้อสินค้าปลอดภาษี
44.   ระบบการทดสอบและจำลอง Simulation Program ที่อาจเกิดขึ้นได้ในสนามบินเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ การวิเคราะห์และวางแผน
45.   ส่วนงานเชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์ค Interface/Integration work with AOT Network คือ ระบบเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยงระบบ AIMS เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย